Tuesday, January 14, 2014

Feel good moments everyday in Portugal & Spain (Part I : from chill out Capital till unique Region)

วันที่ 1 กินลม ชมวิว ฟังเพลง ณ ปราสาท St. George Castle, Lisbon Portugal


St. George Castle (Castle of Sao Jorge) คือ ป้อมปราการและปราสาทเก่าโบราณ ตั้งอยู่บนเนินเขาในเขตเมืองเก่าของลิสบอน มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 เคยถูกครอบครองโดยโรมัน วิสิกอธ มัวร์ ก่อนจะถูกกษัตริย์โปตุเกสชิงคืนในช่วงสงครามครูเสด ตัวปราสาทเคยได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวใหญ่ ที่กรุงลิสบอนในปี 1755 ปัจจุบันที่นี่เป็นจุดชมวิว 360 องศาของเมืองลิสบอนที่สวยงามที่สุด ขอแนะนำให้มาเดินเล่นในสวนสวย และปีนป่ายป้อมปราการเก่านี้กันตอนเย็นๆ เพราะแดดร่ม ลมตก อากาศเย็นสบาย ชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่โรแมนติกไม่เบา

วันที่ 2 ชิๆในเมืองเทพนิยาย ณ Sintra Portugal
 

Sintra คือ เมืองเล็กๆห่างจากลิสบอนไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟประมาณ 40 นาที ถึงจะเป็นเมืองเล็ก แต่เป็นเล็กพริกขี้หนู เพราะ Sintra มีความเก๋าและเก่าไม่เบา มีประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยโรมันนู่น อีกทั้งเป็นเมืองที่ได้สมญาว่าเป็น Fairytale Town ของโปรตุเกส เพราะมีปราสาท ราชวัง วิลล่าสุดหรูเก่าแก่หลายแห่ง ในอดีตเป็นเมืองตากอากาศที่นิยมของราชวงศ์โปรตุเกส ตลอดจนขุนนางและเหล่าเศรษฐี ปัจจุบันเมืองนี้เป็น World heritage ของ UNESCO มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Pena National Palace ซึ่งเป็นพระราชวังเก่า ตกแต่งแบบศิลปะโปรตุเกส Castle of the Moors ป้อมปราการของชาวมัวร์ ส่วนนอกเมืองไปหน่อยมีสถานที่สำคัญอีกแห่ง คือ Cabo da Roca เป็นหน้าผาริมทะเล ซึ่งถือว่าเป็นจุดตะวันตกที่สุดของดินแดนยุโรป

วันที่ 3 ปิกนิกริมแม่น้ำ ชื่นชม Discoveries Monument, Lisbon Portugal


ยุคแห่งการค้นพบ หรือ Age of Discovery คือช่วงเวลาประมาณศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงที่ชาวยุโรปเริ่มสำรวจทางทะเล เพื่อเดินทางค้นหาเส้นทางการค้ามายังตะวันออก โดยโปรตุเกสเป็นผู้นำการบุกเบิกดังกล่าว มีเจ้าชายเฮนรี (Price Henry the Navigator) เป็นผู้ผลักดันการเดินเรือของโปรตุเกสเข้าสู่ยุคของการสำรวจและบุกเบิกทางทะเลอย่างแท้จริง หากต้องการดูประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ แนะนำให้ไปย่าน Belem ในลิสบอน ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวในยุคแห่งการค้นพบที่น่าสนใจมากมาย วิหาร Jeronimos (Jeronimos Monastery) วิหารใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ตกแต่งด้วยศิลปะมานูเอไลน์ (Manueline Art) ซึ่งเป็นรูปแบบศิลปะและสถาปัตกรรมเฉพาะของโปรตุเกส ภายในมีหลุมศพของวาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) นักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ชาวโปรตุเกส ผู้ค้นพบเส้นทางเดินเรือจากยุโรปอ้อมแหลมกู๊ดโฮบจนพบอินเดีย ติดกับวิหารมี Maritime Museum พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการเดินเรือของโปรตุเกสตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เดินข้ามถนนไปริมแม่น้ำ Tagas จะพบหอคอย Belem (Belem Tower) และอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Discoveries Monument) เป็นสัญลักษณ์ของยุคแห่งการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของโปรตุเกส สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบการเสียชีวิต 500 ปีของเจ้าชาย Henry the Navigator ถูกออกแบบได้สวย เท่ห์ เก๋ไก๋ ไม่เหมือนใคร ถูกใจผู้เขียนมากๆ 

วันที่ 4 ตะลึงความงาม ณ Mezquita, Cordoba Spain



Feel good moment ของผู้เขียนในวันนี้ คือ การเดินชมความงามของ Mezquita ณ เมืองกอร์โดบา Mezquita หรือ Mosque-Cathedral of Cordoba เป็นสุเหร่าเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงาม ต่อมาได้กลายเป็นโบสถ์ของชาวคริสต์ภายหลังการพิชิตดินแดนคืน Mezquita เป็นสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของอาณาจักรกาหลิบแห่งกอร์โดบา เริ่มก่อสร้างในปี 768  ในสมัยกาหลิบ Abderramán I หลังการครอบครองของชาวมัวร์ในดินแดนไอบีเรีย ภายนอกสุเหร่าออกแบบเรียบง่าย มีน้ำพุและสวนส้มล้อมรอบ ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม สัญลักษณ์ที่โดดเด่น คือ เสาและโค้ง (Column & Arch) สีขาวและแดง ที่อยู่เรียงรายหลายร้อยต้นงดงามจนต้องตะลึง นอกจากนี้สิ่งที่แตกต่างจากสุเหร่าอื่นๆ คือ เป็นสุเหร่าแห่งเดียวของโลกที่ Mihrab ไม่ได้อยู่ตรงกลาง เนื่องจากสุเหร่าสร้างบนโบสถ์วิสิกอธเดิม ไม่สามารถขยายได้ และเป็นสุเหร่าที่ไม่ได้หันไปทางกรุงเมกะเหมือนสุเหร่าทั่วไป แต่หันไปทาง the Great Mosque of Damascus ที่ซีเรีย อาจเพราะความคิดถึงบ้านเกิดของกาหลิบ Abderramán I ก็เป็นไปได้

วันที่ 5 สนุกสนานรับบอลยูโร 2012 Plaza de Espana, Seville Spain



วันนี้ผู้เขียนมาถึงเมืองเซบีญาตอนบ่ายๆ โปรแกรมแรก คือ ไปเดินเล่นชม Plaza de Espana ซึ่งอยู่ในสวนสาธารณะ Maria Luisa สำหรับ Plaza de Espana สร้างขึ้นในปี 1928 เพื่อเป็นสัญลักษณ์งาน World Fair ซึ่งสเปนเป็นเจ้าภาพในปี 1929 ตัวอาคารรูปครึ่งวงกลมขนาดใหญ่แบบศิลปะ Art Décor ผสมกับ Neo-Mudeja มีการประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดทั้งหมดของสเปน จัดเป็น Landmark แห่งหนึ่งของเซบีญา อีกทั้งยังเคยเป็นฉากในหนังเรื่อง Star War episode 1 และ 2 อีกด้วย ความประทับใจในวันนี้ที่เซบีญานอกจากได้ชมความสวยงามของ Plaza de Espana แล้ว ในบริเวณลานน้ำพุด้านหน้ายังมีการจัดงานต้อนรับการแข่งขันบอลยูโร 2012 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศโปแลนด์และยูเครนในอีกไม่กี่วัน บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก สนุกสนาน มีบู๊ตกิจกรรมเกี่ยวกับฟุตบอลมากมาย มีนิทรรศการแสดงประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของทีมชาติสเปน ซึ่งผู้เขียนโชคดีสุดๆที่ได้เห็นถ้วย Eurocopa และ FIFA World Cup Trophy ตัวจริง ของจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ในแผ่นดินสเปนในฐานะเจ้าของแชมป์ยุโรป 2008 และแชมป์โลก 2010 ปีล่าสุด  

วันที่ 6 วันที่แสนเหนื่อยใน Seville Spain



เซบีญาเป็นเมืองใหญ่ของแคว้นอันดาลูเซียทางใต้ของสเปน มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มายาวนาน เคยเป็นเมืองหลวงของชาวมัวร์เมื่อครั้งปกครองดินแดนแถบนี้ จนถึงเป็นเมืองท่าที่สำคัญและร่ำรวยจากการค้นพบโลกใหม่ของโคลัมบัส เซบีญามีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย แนะนำให้เริ่มต้นที่ย่าน Old Town ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆอยู่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ Alcaza of Seville พระราชวังหลวงตั้งแต่สมัยแขกมัวร์ ตกแต่งในศิลปะแบบ Mudeja ที่สวยงาม ใกล้กันมี Seville Cathedral โบสถ์กอธิคขนาดใหญ่ ภายในมีหลุมศพของ Christopher Columbus นักเดินเรือผู้เป็นตำนานการค้นพบอเมริกา Giralda หรือหอระฆัง ที่สามารถขึ้นไปด้านบนเพื่อดูวิวที่สวยงามของเมืองเซบีญาได้ จากนั้นเดินเล่นย่าน Barrio Santa Cruz ย่านเก่าแก่ซึ่งสมัยก่อนเป็นหมู่บ้านชาวยิว มีเอกลักษณ์เป็นบ้านสีขาว หน้าบ้านประดับดอกไม้สีสด น่ารัก ต่อกันด้วยการล่องเรือชมวิวหรือเดินเล่นเลียบแม่น้ำ Guadalquivir นับเป็นกิจกรรมเพิ่มความชิล นอกจากนี้เซบีญายังเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมสเปนที่มีชื่อเสียงอย่างระบำฟามิงโก้ และการสู้วัวกระทิง โดยสนามสู้วัวกระทิงที่เก่าแก่สุดในสเปนชื่อ“La Maestranza”อยู่ในเซบีญานี่แหละ สำหรับ Feel good moment ของผู้เขียนในวันนี้นึกไม่ออกจริงๆเซบีญาสวยงามมาก แต่สภาพร่างกายที่หักโหมเที่ยวและเปลี่ยนที่นอนแทบทุกคืน จึงจดจำได้แต่ความรู้สึกเหนื่อยเท่านั้น

วันที่ 7 ชื่นชมความงามแห่ง Spain Alhambra, Granada



โปรแกรมวันนี้เราจะไปเยี่ยมชมสถานที่ซึ่งได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดและมีนักท่องเที่ยวมาเยือนสูงสุดในสเปน นั่นคือ Alhambra Palace ในเมืองกรานาดา ซึ่งเป็นพระราชวังของราชวงศ์ Nasrid ราชวงศ์มัวร์สุดท้ายก่อนถูกกษัตริย์คริสเตียนพิชิตคืนและสิ้นสุดยุคที่มุสลิมปกครองดินแดนยุโรป Alhambra ประกอบด้วย 4 ส่วนหลักๆให้เที่ยวชม ส่วนที่ 1 La Alcazaba คือ ป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 9 บริเวณนี้สามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของเมืองกรานาดาที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขา Sierra Nevada ส่วนที่ 2 Nasrid Palaces หรือพระราชวังของกษัตริย์มุสลิม เป็นส่วนที่สวยงามที่สุดใน Alhambra สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ทั้งผนัง เสา เพดาน โค้งซุ้มประตูต่าง ๆ ล้วนแกะสลักอย่างละเอียดปราณีตวิจิตรบรรจงด้วยศิลปะอิสลาม สวยงามแทบลืมหายใจ ส่วนที่ 3 คือ The Palace of Charles V หรือพระราชวังของกษัตริย์คริสเตียน เป็นส่วนใหม่สุดใน Alhambra สร้างขึ้นหลังพิชิตดินแดนของชาวคริสต์ เมื่อศตวรรษที่ 16 เป็นอาคารรูปโค้งแบบศิลปะเรอเนซอง ภายในใช้แสดงนิทรรศการ และมีพิพิธภัณฑ์รวบรวมศิลปะของมัวร์และเมืองกรานาดา ส่วนที่ 4 คือ Generalife หรือวิลล่าพักผ่อนของราชวงศ์มัวร์ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ประกอบด้วยตัวอาคาร น้ำพุ สวนดอกไม้ และต้นไม้นานาชนิด ตกแต่งแบบศิลปะอาหรับได้อย่างน่ารักกุ๊กกิ๊ก บริเวณนี้ยังมองเห็นวิวหมู่บ้านสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของกรานาดาอีกด้วย

สำหรับ Part II : wander around super chic cities อ่านได้ที่
http://www.poythetraveller.blogspot.com/2014_07_01_archive.html